big data คืออะไร มาทำความรู้จักกับ Big Data ใน 5 นาที
การเก็บข้อมูลในรูปแบบของเอกสารกระดาษในยุคที่กำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล อาจเป็นเรื่องที่ชวนให้เกิดความยุ่งยาก ทำให้การทำงานช้าลง โดยเฉพาะในองค์กร ปัจจุบันเราสามารถจัดเก็บข้อมูลไว้ใน Cloud ที่เก็บรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่และเรียกใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา แล้ว big data คืออะไร? เรามาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กัน
Big Data คือ
big data คือ จำนวนข้อมูลปริมาณมหาศาล การเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดขององค์กร รูปแบบข้อมูล big data ได้แก่ ข้อมูลของบริษัท ข้อมูลการติดต่อของลูกค้า ผู้ร่วมธุรกิจ ลักษณะของผู้บริโภค การทำรายการธุรกิจต่าง ๆ ในแต่ละวัน ตัวอักษร ไฟล์เอกสาร รูปภาพ รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ทุกประเภทที่อยู่บนโลกออนไลน์ เป็นต้น เมื่อข้อมูลมีปริมาณมาก จำเป็นต้องมีระบบประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาล
ทำความรู้จักกับ Big Data
เรามาทำความรู้จักกับ big data ให้มากยิ่งขึ้น เพราะการเก็บข้อมูลแบบ big data นี้สามารถนำวิเคราะห์ข้อมูลด้านต่าง ๆ วางแผนงานประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
big data เกิดขึ้นได้อย่างไร คุณลักษณะของ big data มีอะไรบ้าง และการนำประโยชน์ของ big data มาใช้ แล้ว big data เหมาะสมกับใคร มีกระบวนการทำงานอย่างไร มาหาคำตอบกัน
Big Data เกิดขึ้นได้อย่างไร?
big data ผู้ที่ทำให้คำนี้เป็นที่รู้จักคือ John Mashey เริ่มใช้ในช่วงปี 1990 โดยปกติแล้ว big data คือข้อมูลที่มีปริมาณใหญ่มาก ซอฟต์แวร์รุ่นเก่าไม่สามารถประมวลผลได้ หรือใช้เวลาในการประมวลผลนาน ซึ่ง big data จะมีรูปแบบข้อมูลที่มีโครงสร้าง กึ่งมีโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง ขนาดของ big data จะมีการเพิ่มขนาดของข้อมูลขึ้นเรื่อย ๆ จากปัจจุบันมีขนาดข้อมูลหลายพัน Terabytes เพิ่มเป็น Zettabytes
ทั้งนี้การทำงานของ big data จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสามารถรองรับข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน และหลากหลายได้ ในปี 2018 มีการให้นิยามของ big data ใหม่ว่า “big data คือ เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการกับข้อมูล”
คุณลักษณะของ Big data (6V) มีดังต่อไปนี้
คุณลักษณะของ big data (6V) มีดังต่อไปนี้
1. ปริมาณ (Volume) : เนื่องจาก big data เป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มีปริมาณมหาศาล ไม่ว่าอยู่ในรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ข้อมูลเหล่านี้มีปริมาณมากกว่าหน่วย TB (Terabyte) ขึ้นไป
2. ความเร็ว (Velocity) : ข้อมูล big data มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เรียกว่า Real Time ก็ว่าได้ จึงทำให้สามารถวิเคราะห์แบบ Manual ได้ง่าย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นการจับทิศทางหรือรูปแบบที่ชัดเจน ตายตัวของข้อมูลเหล่านั้นเป็นไปได้ยาก
3. ความหลากหลาย (Variety) : ข้อมูลมีความหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลรูปแบบไฟล์ภาพรูปภาพ ตัวอักษร หรือวิดีโอ เป็นต้น รวมไปถึงความหลากหลายในรูปแบบ Platform E-Commerce, Social Network อีกด้วย
4. คุณภาพของข้อมูล (Veracity) : คุณภาพของข้อมูลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ หาก big data ที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล หรือแปลงให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิบ (Raw Data) จะไม่สามารถใช้งานหรือใช้ประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัทได้
ทั้งนี้ข้อมูลจะมาจากหลายแหล่งไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube, Twitter ซึ่งข้อมูลจากแหล่งเหล่านี้ การควบคุมคุณภาพ การคัดกรองข้อมูล และความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นไปได้ยาก จึงต้องนำข้อมูลมาเข้าสู่กระบวนการทำ Data Cleansing ก่อน
5. ความแปรผัน (Variability) : ข้อมูล big data มีการเปลี่ยนเเปลงอย่างรวดเร็วตามรูปเเบบการใช้งาน และรูปแบบของการจัดเก็บขึ้นอยู่กับเเหล่งข้อมูลที่เก็บมา จึงเป็นข้อมูลที่มีความแปรผันได้
6. มีมูลค่า (Value) : มูลค่าของ big data เกิดจากการประมวลผล และวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก และสามารถประเมินได้จากการพิจารณาคุณภาพอื่น ๆ ของ big data ที่แสดงให้เห็นถึงการทำกำไรของข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์
ประโยชน์ของการนำ Big Data มาใช้
การจะนำ big data ใช้ประโยชน์นั้นควรคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ คือ ความเชื่อมโยงกันของข้อมูล หากสิ่งที่รวบรวมมา ไม่สามารถหาจุดเชื่อมโยงกันได้ ข้อมูลเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์ การเก็บ Data ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กันของข้อมูลด้วย
ประโยชน์ของ Big Data ช่วยให้สามารถศึกษาเข้าใจ พฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้บริโภค จากการนำฐานข้อมูลใน big data มาผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (data analysis) วิเคราะห์ความต้องการของตลาดในอนาคต วางแผน คาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดงบประมาณในการลงทุนด้าน IT ได้อีกด้วย
Big Data เหมาะกับใคร?
big data เหมาะกับใคร ก่อนอื่นต้องบอกว่า big data เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถใช้งานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มา นำมาวิเคราะห์วางแผนประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการ ลดระยะเวลาในการทำงาน และลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี
บริษัทใหญ่ ๆ หลายเจ้านำไปใช้ในการวางแผนการตลาด วิเคราะห์ลักษณะของผู้บริโภค รวมถึงความต้องการของผู้บริโภค เพื่อรองรับธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น บริษัทขายของออนไลน์ ใช้ big data ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าโดยอาศัยข้อมูลจากการติดตามพฤติกรรมการใช้งาน การค้นหาข้อมูลของลูกค้า ว่ามีความต้องการเป็นอย่างไร
Big Data มีกระบวนการในทำงานอย่างไร
กระบวนการทำงานของ big data มีอยู่ 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1. จัดเก็บข้อมูล (Storage) : เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มา ทั้งข้อมูลที่มีคุณภาพและข้อมูลที่คาดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ จะถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นี่
2. การประมวลผลข้อมูล (Processing) : เป็นการการประมวลผลข้อมูล หลังจากจัดเก็บข้อมูลมาไว้ที่เดียวกัน จากนั้นข้อมูลจะถูกนำมาจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ใกล้เคียงและให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกันมากที่สุด แล้วนำมาเปลี่ยนเป็นรูปแบบข้อมูล เพื่อนำไปเข้าระบบข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
3. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) : เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอข้อมูล หลังจากจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะนำมาวิเคราะห์หา Pattern ความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของการตลาด ความต้องการของลูกค้า กระแสในอนาคต รวมถึงข้อมูลด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ และจัดมานำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น รูปภาพหรือกราฟ เป็นต้น
สรุป Big Data ในความหมายของการนำมาประยุกต์ใช้ในบทเรียน Code Genius
big data ในความหมายของการนำมาประยุกต์ใช้ในบทเรียน Code Genius เป็นการฝึกทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเสมือนเราเป็น big data มีการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มา นำมาประมวลผล จัดหมวดหมู่ความสัมพันธ์ของข้อมูล นำมาวิเคราะห์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ได้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพ