แฟรนไซส์ (Franchise) รูปแบบการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มีความน่าสนใจในปี 2023
สำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบันนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการที่จะเลือกลงทุน ซึ่งในการทำธุรกิจนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่า ผู้อ่านหลายๆท่านให้ความสนใจ แต่อาจจะยังมีข้อสงสัยในขั้นตอนการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมีความกังวลในการเริ่มดำเนินการธุรกิจว่าการทำธุรกิจนั้นยากหรือไม่ ต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่ และบทความนี้จึงขอแนะนำ “แฟรนไชส์” รูปแบบการทำธุรกิจ ที่มีผู้เชี่ยวชาญวางแผนให้กับผู้ลงทุนแล้ว ซึ่งบทความนี้จะขอนำทุกท่านไปเข้าใจ ว่า แฟรนไชส์คืออะไร และ แฟรนไชส์น่าลงทุน มีข้อดีอย่างไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถอ่าน และทำความเข้าใจกับบทความนี้ด้านล่างได้พร้อมๆกัน
แฟรนไชส์คืออะไร รูปแบบการทำธุรกิจแฟรนไชส์สำคัญอย่างไร
แฟรนไซส์ (Franchise) คืออะไร
เชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า มีบริการขายแฟรนไชส์ ลงทุนแฟรนไชส์ต่างๆอยู่ตามสื่อ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแฟรนไชส์คืออะไร ? เราสามารถสรุปได้ง่ายๆคือ แฟรนไชส์คือ รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่มีการวางแผนคลอบคลุมครบวงจร เพื่อนำไปขายให้กับผู้ลงทุนที่สนใจ โดยสามารถใช้เครื่องมือหรือรูปแบบทางธุรกิจในแฟรนไชส์ได้เลย
ไม่ต้องทำการวางแผนหรือมียุทธศาสตร์ในการลงทุน เพราะว่า มีผู้เชี่ยวชาญที่คิดและทำการวางแนวทางให้กับผู้ลงทุนไว้เรียบร้อย ซึ่งในส่วนนี้ถือได้ว่าเป็นข้อดีและเป็นลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ เพราะว่าผู้ลงทุนนั้นไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ใดๆในด้านธุรกิจก็สามารถดำเนินกิจการจากบริษัทแม่ได้
ประโยชน์ของแฟรนไชส์
ประโยชน์ของแฟรนไชส์คืออะไร
ในบทความอาจจะกล่าวถึงความหมายของแฟรนไชส์ไปแล้ว แต่เชื่อว่าหลายๆท่านก็คงอยากทราบว่าแล้วประโยชน์อื่นๆของแฟรนไชส์คืออะไร มีข้อดีและความน่าสนใจในเชิงลึกอย่างไรบ้าง ซึ่งสามารถกล่าวถึงประโยชน์ของตัวแฟรนไชส์ได้เป็นข้อคร่าวๆดังนี้
1.ได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆจากบริษัทแม่ในการประกอบธุรกิจ
เมื่อผู้ลงทุนได้ซื้อแฟรนไชส์เรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทฯ เจ้าของแฟรนไชส์จะให้คำแนะนำถึงวิธีการประกอบธุรกิจ หรือ หากเกิดปัญหาขึ้นในการดำเนินกิจการ ทางบริษัทก็จะมีการดูแลพร้อมช่วยเหลือผู้ลงทุน ทั้งนี้ทางบริษัทย่อมต้องรักษามาตรฐานให้เกิดขึ้นกับทุกสาขาของการลงทุน ในข้อแรกนี้เองก็ถือเป็นลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีความสำคัญอย่างมาก
2.ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเนื่องจากมีตราผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการในตลาด
สินค้าและบริการต่างๆ นั้น จำเป็นต้องมีตราผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคซึ่งถือเป็นการให้การรับประกันถึงคุณภาพของสินค้าและบริการที่ลูกค้าจะได้รับกลับไป ยิ่งหากมีสาขาที่มากมายติดตลาด ยิ่งทำให้ผู้บริโภคนั้นมีความเชื่อมั่น ซึ่งจะเห็นได้ชัดเช่น แฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ที่มีชื่อแฟรนไชส์ที่ติดตาและคุ้นเคยตามท้องถนน จนผู้บริโภคเกิดการบอกเล่าและส่งต่อความเชื่อมั่นในการเลือกซื้อใช้บริการ และในด้านผู้ลงทุนที่จะทำการตลาด ก็สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก ด้วยภาพลักษณ์ของแบรนด์ และชื่อเสียงจากสาขาที่มีมาก
3.แฟรนไชส์สามารถลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจ
การเริ่มทำธุรกิจในช่วงแรกๆนั้น ย่อมมีความกังวลและสงสัยว่า เม็ดเงินที่จะลงทุนไปนั้น จะมีความคุ้มค่าหรือไม่ และเพียงพอต่อการซื้อสิ่งที่จำเป็นต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจไหม ซึ่งหัวใจหลักของแฟรนไชส์นั้นคือการคิดและวางแผนให้กับผู้ลงทุนไว้แล้ว ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่า สามารถเริ่มต้นดำเนินการธุรกิจได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงด้านต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม
4.สามารถทำการประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทางบริษัทเจ้าของแฟรนไชส์จะเปลี่ยนเป็น จะวางกลยุทธ์ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ทางการตลาด เพื่อสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ของผู้บริโภคในตราผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป มีมาตราฐานตาม ลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ทำการลงทุน
รูปแบบของการทำแฟรนไชส์
คำถามสำคัญและมักได้รับข้อสงสัยบ่อยๆอีกข้อหนึ่งคือ รูปแบบของการทำแฟรนส์ไชส์คืออะไร?
ในส่วนนี้ สามารถจำแนกแยกเป็นสองส่วนให้ผู้อ่านนั้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายคือ
เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ (franchisor)
โดยความหมายอย่างง่ายของข้อแรกนี้คือ ผู้ที่เป็นบริษัทองค์กรหนึ่งๆ ซึ่งประสบความสำเร็จในการค้าขายสินค้าและบริการของบริษัทตนเอง จนเป็นที่ยอมรับ และถูกกล่าวได้ว่าเป็นบริษัทที่มีมาตรฐานในการทำธุรกิจ โดย เจ้าของสิทธิ์นี้เอง อาจจะอยากถ่ายทอดหรือขยายภาพรวมของธุรกิจให้กว้างมากขึ้น โดยการมีสาขา และชื่อของแบรนด์ตนเองในหลากหลายพื้นที่
จึงเกิดเป็นการขายสิทธิ์ แฟรนไชส์ ให้กับผู้ที่สนใจ โดยมีข้อสำคัญคือ เจ้าของสิทธิ์จะต้องเผยแพร่ความรู้และชุดรูปแบบในการทำธุรกิจให้กับผู้ที่มีความสนใจในการลงทุนของตนเอง
ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ (Franchisee)
เมื่อมีผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์ในแบรนด์ ก็ต้องย่อมมีผู้ลงทุนที่เข้ามารับสิทธิ์ในการนำชื่อแบรนด์ของบริษัทแม่ไปดำเนินธุรกิจต่อไป ซึ่งนั้นก็เรียกว่า Franchisee ที่มีหน้าที่ในการลงทุน และรับวิธีการดำเนินธุรกิจไปสานต่อในสาขาของตนเอง ซึ่งหากจะยกตัวอย่างให้ง่ายที่สุด สามารถดูได้จาก ธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ที่เรามักจะเห็นชื่อแบรนด์และสาขาหลายๆพื้นที๋
และสองส่วนที่ได้กล่าวไปนั้น ก็คือคำตอบของคำถามที่ว่า รูปแบบของการทำแฟรนไชส์คืออะไร?
ประเภทของแฟรนไชส์สามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบดังต่อไปนี้
ประเภทของแฟรนไชส์คืออะไรแฟรนไชส์คืออะไร?
1. Product and Brand Franchising คือ รูปแบบลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ ผู้ประกอบการหรือผู้รับสิทธิ์นั้นสามารถมีสิทธิ์เหนือในการใช้ เครื่องหมายการค้า พร้อมทั้งค้าขายสินค้าของบริษัทแม่ และสามารถประกอบกิจการของตนเองได้อย่างอิสระ ไม่มีกฎเกณฑ์ครอบลักษณะการดำเนินการธุรกิจไว้
2. Business Format Franchising คือ รูปแบบลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ ผู้ประกอบการที่ลงทุนแฟรนไชส์จะต้องทำการดำเนินธุรกิจผ่านรูปแบบยุทธศาสตร์ทางการตลาด หรือกฎเกณฑ์ในการทำแฟรนไชส์ที่เจ้าของสิทธิ์ได้กำหนดขึ้น
3. Conversion Franchising คือ รูปแบบลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ มีการพัฒนามาจากแฟรนไชส์ประเภทก่อนหน้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ เพิ่มความสนใจจากผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ เห็นข้อดีหรือความสำคัญในการทำแฟรนไชส์ที่มีรูปแบบและกฎเกณฑ์ เพื่อสร้างประโยชน์และการสร้างการรับรู้ในตลาดร่วมกัน นำไปสู่การเติบโตของแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรพิจารณาของ Franchisee หรือผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์
คำถามสำคัญและข้อควรพิจารณาของผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ หรือผู้ที่จะลงทุนแฟรนไชส์ ที่ผู้จะลงทุนแฟรนไชส์คืออะไร ในส่วนนี้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกๆที่ ผู้จะลงทุนควรให้ความสนใจและไม่ควรมองข้าม ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้
1.องค์กรเจ้าของสิทธิ์นั้นให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ลงทุนมากน้อยเพียงใด
2.ผลประกอบการในตลาดการค้าของผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์นั้นเป็นอย่างไร ณ ปัจจุบัน
3.องค์กรเจ้าของสิทธิ์นั้นมีระยะเวลาหรือแผนทางการตลาดกับผู้ลงทุนอย่างไรบ้าง ?
4.ความน่าเชื่อถือของบริษัท รวมถึงเสียงสะท้อนจากผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ข้อควรพิจารณาของ franchisee หากจะทำการลงทุนในแฟรนไชส์คืออะไร ?
เมื่อมองภาพรวมของบริษัทผู้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์เรียบร้อยแล้ว ผู้ลงทุนต้องดูในความเหมาะสมของบริบทต่างๆในการทำธุรกิจหรือซื้อแฟรนไชส์ โดยสามารถแยกเป็นข้อย่อยได้ดังนี้
กลุ่มเป้าหมายของแฟรนไชส์คืออะไร ?
พื้นที่ที่เราจะทำธุรกิจนั้น สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่จะลงทุนหรือไม่
ต้นทุนของผู้ลงทุนนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ เทียบกับแผนทางการตลาดเบื้องต้นที่ผู้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์นั้นได้นำเสนอ
ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ( Franchise ) ที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจัยในการก่อให้เกิดความสำเร็จในธุรกิจแฟรนไชส์คืออะไร ?
1.การเลือกลงทุนกับลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่เหมาะสมกับผู้ลงทุน และสภาพแวดล้อม
อย่างเช่นหากผู้ลงทุนมีพื้นที่ในการประกอบธุรกิจขนาดกลาง และตั้งอยู่กลางชุมชนที่มีผู้คนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ อาจจะลองเปิดแฟรนไชส์ ร้านสะดวกซัก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในพื้นที่
2 .ความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจ
แม้การเปิดแฟรนไชส์นั้นจะมีแผนการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่หากผู้ลงทุนหมั่นทำการบ้าน ตรวจสอบผลประกอบการ วิเคราะห์ลูกค้าและทำการปรึกษากับเจ้าของแบรนด์อยู่เสมอ อาจจะทำให้พบเจอกับช่องทางการตลาดที่สามารถทำให้ธุรกิจนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้
สัญญาและค่าธรรมเนียมของแฟรนไชส์
สัญญาและค่าธรรมเนียมของแฟรนไชส์คืออะไร ในข้อนี้ถือได้ว่าเป็นหลักสำคัญที่ผู้ลงทุนจะต้องให้ความสำคัญและดูข้อตกลงอย่างละเอียด เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และสามารถลงทุนแฟรนไชส์ได้อย่างถูกต้องตามลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ตนสนใจ
ส่วนของสัญญา
ในส่วนนี้จะเป็นการทำข้อตกลงระหว่าง เจ้าของสิทธิ์ (Franchisor) และผู้รับสิทธิ์ (Franchisee) เพื่อเข้าใจถึงสิทธิ์ และข้อตกลงในการรักษาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างที่มีการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เกิดความยุติธรรมระหว่างสองฝ่าย เพราะลักษณะของธุรกิจแฟรนไชส์นั้นอาจจะมีความซับซ้อนในเชิงกฎหมายข้อต่างๆ
ส่วนของค่าธรรมเนียม
อย่างที่ทราบว่า ผู้รับสิทธิ์ซื้อแฟรนไชส์จะต้องทำการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อซื้อสิทธิ์ต่างๆทางกฎหมายและเป็นผู้ดูแลสาขาแฟรนไชส์ ซึ่งก็จะมีในส่วนของค่าธรรมเนียมเริ่มต้นในการทำธุรกิจ ปรับเป็น ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ และค่าดำเนินงานทางการตลาด เป็นต้นที่จะเกิดขึ้นระหว่างการลงทุนแฟรนไชส์ เพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการของบริษัทแม่
สรุป
เมื่อผู้ลงทุนทราบแล้วว่า แฟรนไชส์คืออะไร? ข้อดีในการลงทุนแฟรนไชส์คืออะไรบ้าง รวมถึงรูปแบบของการทำแฟรนไชส์ จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างดียิ่งขึ้นในการเลือกลงทุนธุรกิจที่ตนเองสนใจ ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากผู้ลงทุนได้ทราบถึงประโยชน์ของแฟรนไชส์แล้วนั้น จะทำให้ตลาดธุรกิจการลงทุนด้านต่างๆของคนไทยนั้น มีการเติบโตและมีการพัฒนาขึ้นอยู่เสมอ